วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องพระเถรีชื่อว่าปฏาจารา ๔



   
  ตสฺสา อปเรน สมเยน ปุน คพฺโภ ปติฏฺฐหิ. สา ปริปุณฺณคพฺภา หุตฺวา ปุริมนเยเนว สามิกํ ยาจิตฺวา คมนํ อลภมานา ปุตฺตํ องฺเกนาทาย ตเถว ปกฺกมิตฺวา เตน อนุพนฺธิตฺวา ติฏฺฐาหีติ วุตฺเต นิวตฺติตุ น อิจฺฉิ. 
  
    สมัยอื่น ครรภ์ของนางตั้งขึ้นอีก. นางเป็นผู้มีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอนสามีโดยนัยก่อนนั่นแล เมื่อไม่ได้ความยินยอม จึงอุ้มบุตรด้วยสะเอวหลีกไปอย่างนั้นนั่นแล แม้ถูกสามีนั้นติดตามพบแล้ว ก็ไม่ปรารถนาจะกลับ.

     อถ เนสํ คจฺฉนฺตานํ มหา อกาลเมโฆ อุทปาทิ สมนฺตา วิชฺชุลตาหิ อาทิตฺตํ วิย เมฆตฺถนิเตหิ ภิชฺชมานํ วิย  อุทกธารานิปาตนิรนฺตรํ นภํ อโหสิ. ตสฺมึ ขเณ ตสฺสา กมฺมชวาตา จลึสุ. สา สามิกํ อามนฺเตตฺวา สามิ กมฺมชวาตา เม จลิตา น สกฺโกมิ สนฺธาเรตุ อโนวสฺสกฏฺฐานํ เม ชานาหีติ อาห. โส หตฺถคตาย วาสิยา อิโต จิโต จ อุปธาเรนฺโต เอกสฺมึ วมฺมิกมตฺถเก ชาตํ คุมฺพํ ทิสฺวา ฉินฺทิตุ อารภิ. อถ นํ วมฺมิกโต นิกฺขมิตฺวา โฆรวิโส อาสีวิโส ฑํสิ.

    ครั้งนั้น  เมื่อชนเหล่านั้นเดินไปอยู่, มหาเมฆอันมิใช่ฤดูกาลเกิดขึ้น. ท้องฟ้าได้มีท่อธารตกลงไม่มีระหว่าง ดังสายฟ้าฟาดแผดเผาอยู่โดยรอบ ดังจะทำลายลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ. ในขณะนั้น ลมกัมมัชวาตของนางปั่นป่วนแล้ว. นางเรียกสามีมากล่าวว่า นายลมกัมมัชวาตของฉันปั่นป่วนแล้ว, ฉันไม่อาจจะทนได้, ท่านจงรู้สถานที่ฝนไม่รดฉันเถิด. สามีนั้นมีมีดอยู่ในมือ ตรวจดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นพุ่มไม้ซึ่งเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง เริ่มจะตัด. ลำดับนั้น อสรพิษมีพิษร้ายกาจเลื้อยออกจากจอมปลวก กัดเขา. 

   ตงฺขณญฺเญวสฺส สรีรํ อนฺโตสมุฏฺฐิตาหิ อคฺคิชาลาหิ ฑยฺหมานํ วิย นีลวณฺณํ หุตฺวา ตตฺเถว ปติ. อิตราปิ มหาทุกฺขํ อนุภวมานา ตสฺส อาคมนํ โอโลเกนฺตีปิ ตํ อทิสฺวาว อปรมฺปิ ปุตฺตํ วิชายิ. ทฺเว ทารกา วาตวุฏฺฐิเวคํ อสหมานา มหาวิรวํ วิรวนฺติ. สา อุโภปิ เต อุรนฺตเร กตฺวา ทฺวีหิ ชณฺณุเกหิ เจว หตฺเถหิ จ ภูมิยํ อุปฺปีเฬตฺวา ตถา ฐิตาว รตฺตึ วีตินาเมสิ.

ในขณะนั้นนั่นแล สรีระของเขามีสีเขียวดังถูกเปลวไฟอันตั้งขึ้นในภายในไหม้อยู่ ล้มลงในที่นั้นนั่นเอง. ฝ่ายภรรยานอกนี้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ แม้มองดูทางมาของเขาอยู่ ก็มิได้เห็นเขาเลย จึงคลอดบุตรคนอื่นอีก. ทารกทั้ง ๒ ทนกำลังแห่งลมและฝนไม่ได้ ก็ร้องไห้ลั่น. นางเอาทารกแม้ทั้ง ๒ คนนั้นไว้ที่ระหว่างอุทร ยืนท้าวแผ่นดิน ด้วยเข่าและมือทั้ง ๒ ให้ราตรีล่วงไปแล้ว.

สกลสรีรํ นิลฺโลหิตํ วิย ปณฺฑุปลาสวณฺณํ อโหสิ. สา อุฏฺฐิเต อรุเณ มํสเปสิวณฺณํ เอกํ ปุตฺตํ องฺเกนาทาย อิตรํ องฺคุลิยา คเหตฺวา เอหิ ตาต ปิตา เต อิโต คโตติ วตฺวา สามิกสฺส คตมคฺเคน คจฺฉนฺตี ตํ วมฺมิกมตฺถเก กาลํ กตฺวา ปติตํ นีลวณฺณํ ถทฺธสรีรํ ทิสฺวา มํ นิสฺสาย มม สามิโก ปนฺเถ มโตติ โรทนฺตี ปริเทวนฺตี ปายาสิ.



        สรีระทั้งสิ้นได้เป็นดังสีใบไม้เหลือง เหมือนไม่มีโลหิต. เมื่ออรุณขึ้นนางอุ้มบุตรคนหนึ่งซึ่งมีสีดังชิ้นเนื้อด้วยสะเอว จูงบุตรนอกนี้ด้วยนิ้วมือกล่าวว่า มาเถิด พ่อ, บิดาเจ้าไปโดยทางนี้ ดังนี้แล้ว ก็เดินไปตามทางที่สามีไป เห็นสามีนั้นล้มตายบนจอมปลวกมีสีเขียวตัวกระด้าง ร้องไห้รำพันว่า เพราะอาศัยเรา สามีของเราจึงตายที่หนทางเปลี่ยว ดังนี้แล้วก็เดินไป.



 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น